Welcome www.herbsdd.blogspot.com

ขอต้อนรับเข้าสู่เวปไซต์ www.herbsdd.blogspot.com เพื่อคนรักสุขภาพและสมุนไพร เพื่อชีวิตที่ดีด้วยวิธีง่ายๆในการใส่ใจสุขภาพที่น่าทะนุถนอมของคุณ

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สมุนไพรไทย:ลิ้นงูเห่า


ลิ้นงูเห่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Clinacanthus siamensis Bremek

ชื่อวงศ์ : ACANTHACEAE

รูปลักษณะ : ลิ้นงูเห่า เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1.5-4 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปใบหอกหรือรูปใบหอกแกมขอบขนาน กว้าง 2.5-4 ซม. ยาว 7-12 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม โคนกลีบสีเขียว ติดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลแห้ง แตกได้

ส่วนที่ใช้เป็นยา  : ใบ ราก

สรรพคุณของ ลิ้นงูเห่า :
ใบ ใช้ตำหรือขยี้ ทาหรือพอก แก้พิษร้อนอักเสบ ปวดฝี
ราก ตำพอกแก้พิษตะขาบและแมงป่อง



ผลงานการวิจัยใบลิ้นงูเห่า

ใบลิ้นงูเห่า” กับฤทธิ์ต้านไวรัสก่อโรคไข้หวัดใหญ่

 
ลิ้นงูเห่าเป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1.5 - 4 เมตร ลักษณะใบเป็นรูปหอก มีก้านใบยาว ดอกออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง ดอกมีสีแดงส้ม ผลมีลักษณะแห้งและแตก ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด สรรพคุณทางยาของลิ้นงูเห่า ได้แก่ รากสามารถนำไปตำ แล้วพอกใช้สำหรับแก้พิษตะขาบและแมลงป่องต่อย ส่วนใบสามารถใช้แก้พิษร้อนอักเสบและอาการปวดฝี


ผศ.ภญ.ดร.มะลิ วิโรจน์แสงทอง ภาควิชาชีวเคมีและจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งศึกษา วิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสก่อโรคไข้หวัดใหญ่และฤทธิ์การกระตุ้นภูมิคุ้มกันของใบลิ้นงูเห่า กล่าวว่า เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นเชื้อที่สามารถติดต่อกันได้ง่าย เมื่อติดเชื้อแล้วผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรง ยารักษาในปัจจุบันยังมีจำนวนน้อยและมีปัญหาการดื้อยา ส่วนวัคซีนที่ใช้อยู่ก็มีข้อจำกัดคือจะป้องกันเฉพาะ สายพันธุ์ของวัคซีนนั้นๆ หากมีการระบาดของสายพันธุ์อื่นก็จะไม่สามารถป้องกันได้ จึงต้องมีการผลิตวัคซีน ขึ้นใหม่ทุกปีตามสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่ ทำให้อาจเกิดปัญหาผลิตวัคซีนไม่ทันท่วงทีหรือไม่เพียงพอต่อ ความต้องการได้ และผู้ได้รับวัคซีนบางคนอาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดเมื่อย เป็นไข้ ฯลฯ จากผลการวิจัย ที่ผ่านมา พืชสมุนไพรของไทยหลายชนิดมีฤทธิ์ต้านไวรัสหลากหลายสายพันธุ์ แสดงให้เห็นว่ามีศักยภาพในการพัฒนาต่อไปได้ จึงได้ทำการศึกษาวิจัยครั้งนี้เพื่อหาว่าสมุนไพรชนิดใดบ้างที่มีฤทธิ์ต้านไข้หวัดใหญ่ เริ่มจากการนำสมุนไพร 20 ชนิดที่คาดว่าจะมีฤทธิ์ ดังกล่าวมาตรวจคัดกรองด้วยการบ่มสมุนไพรกับเซลล์เพาะเลี้ยงในหลอดทดลองซึ่งให้เชื้อไวรัส 3 สายพันธุ์ ได้แก่ Type A คือ H1N1 H3N2 และ Type B พบว่าใบลิ้นงูเห่ามีฤทธิ์ต้านไวรัสที่ดี สามารถยับยั้ง H3N2 ได้สูงที่สุดประมาณร้อยละ 42 จึงนำใบลิ้นงูเห่า มาทำการวิจัยเพิ่มเติมในหนูทดลองที่มีเชื้อไวรัส H3N2 แบ่งหนูเป็น 3 กลุ่มเพื่อเปรียบเทียบกัน ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับสารสกัดใบลิ้นงูเห่า 4 ชั่วโมงก่อนให้เชื้อไวรัส วันละครั้ง ใน 5 วันแรกของการติดเชื้อ กลุ่มที่ให้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านไวรัสร้อยละ 84 และกลุ่มที่ให้น้ำอย่างเดียว โดยมีการตรวจวัดด้วยการชั่งน้ำหนักทุกวัน


ผศ.ภญ.ดร.มะลิ กล่าวถึงผลการวิจัยว่า หนูในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดใบลิ้นงูเห่ามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากที่สุดอย่างมีนัยยะสำคัญ และจากการนำน้ำล้างปอดของหนูมาตรวจในวันที่ 19 ของการติดเชื้อก็พบว่ามี Antibody สูงกว่าอีก 2 กลุ่มอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยในสัปดาห์แรก กลุ่มที่ให้น้ำและกลุ่มสารสกัดใบลิ้นงูเห่าน้ำหนักลดลง ส่วนกลุ่มโอเซลทามิเวียร์น้ำหนักลดเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อครบ 19 วันของการทดลอง กลุ่มโอเซลทามิเวียร์กลับมีน้ำหนักขึ้นน้อยที่สุดและมี Antibody ไม่สูงมาก ซึ่งอาจเกิดจากการที่ยาเข้าไป ต้านไวรัสจนทำให้ไม่เหลือไวรัสที่จะไปกระตุ้นภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้จากการทดสอบความเป็นพิษของใบลิ้นงูเห่า ยังพบว่ามีความ เป็นพิษต่ำมากเมื่อเทียบกับฤทธิ์ในการต้านไวรัส จึงถือว่าสามารถนำไปใช้ได้อย่างปลอดภัย


สำหรับการต่อยอดผลงานวิจัยดังกล่าว ผศ.ภญ.ดร.มะลิ เปิดเผยว่า จะทำการศึกษาวิจัย เพิ่มเติมในเชิงลึกและเชิงกว้าง โดยศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของใบลิ้นงูเห่าด้วยการทดลอง ในเซลล์เพาะเลี้ยง เนื่องจากการทดลองเพิ่มเติมในสัตว์ทดลองนั้นต้องใช้เวลาและทุนวิจัยที่สูง หากเป็นไปได้ก็อยากจะต่อยอดไปสู่การทดลองในมนุษย์ แต่ก็จะมีข้อจำกัดหลายประการ รวมทั้ง จะต้องมีการศึกษาฤทธิ์อื่นๆเพิ่มเติม และต้องทดสอบกับไวรัสหลายสายพันธุ์ นอกจากนี้การที่ ใบลิ้นงูเห่ามีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันก็อาจจะสามารถนำไปพัฒนาเป็นสารเสริมฤทธิ์ของวัคซีนได้ แต่ต้องศึกษาเพิ่มเติมว่าเป็นฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะหรือไม่ สำหรับประชาชนทั่วไปก็สามารถนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ ได้ด้วยตนเอง โดยการรับประทานพืชสมุนไพรที่ตรวจพบว่ามีฤทธิ์ต้านไวรัส เช่น ฟ้าทะลายโจรที่มีฤทธิ์ต้าน H1N1 และไวรัส Type B ประมาณร้อยละ 15 โหระพาที่มีฤทธิ์ต้าน H3N2 ประมาณร้อยละ 24 และต้านType B ประมาณร้อยละ 9 กะเพราที่มีฤทธิ์ต้าน H3N2 ร้อยละ 19 ฯลฯ เพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อหวัด

 
จุฬาสัมพันธ์ ปีที่ 52 ฉบับที่ 44 วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2552


Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket
Photobucket

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เกลือกับการดูแลผิว


เกลือ นอกจากมีประโยชน์ด้านคุณค่าทางโภชนาการแล้ว เกลือยังสามารถนำมาดูแลผิวให้มีสุขภาพดีได้อีกด้วย


ดีเกลือที่จะพูดถึงในวันนี้คือดีเกลือฝรั่ง ดีเกลือฝรั่ง มีสูตรทางเคมีว่า MgSO4.7H2O ดีเกลือชนิดที่เป็นเกลือซัลเฟตของแมกนีเซียม หรือเรียกว่า "แมกนีเซียมซัลเฟต" เรียกเป็นภาษาสามัญแบบฝรั่งว่า Epsom salts มีลักษณะเป็นผลึกสีขาวหรือใส คล้ายผงชูรส ไม่มีกลิ่น ละลายน้ำได้ รสเค็ม สามารถหาซื้อได้ตามร้านเคมีภัณฑ์ทั่วไป

มีคุณสมบัติเป็นยาระบายถ่ายอุจจาระ ถ่ายพิษเสมหะและโลหิต นิยมนำเอามาใช้ในการรักษาปลา และยังมีการนำไปใช้ในการเกษตรเรื่องเอาไปช่วยรักษาดินที่ขาดแมกนีเซียม นอกจากนี้สาวๆ ยังนิยมนำไปเป็นส่วนผสมในการรักษาสิวแบบประหยัดอีกด้วย


ดีเกลือมีประโยชน์สำหรับความงามอย่างไร
คุณประโยชน์มากมายของดีเกลือที่สาวๆอาจจะไม่รู้ ดีเกลือใช้เป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์อาบน้ำเพื่อความผ่อนคลาย ขัดผิวหน้าและเพิ่มวอลุ่มให้กับเส้นผม นอกจากนี้ยังช่วยในการรักษาแผลตกสะเด็ก ลดอาการบวมจากอาการเคล็ดขัดยอกและรอยฟกช้ำ

การแช่น้ำร้อนในอ่างอาบน้ำที่ผสมดีเกลือสักสองสามถ้วยตวง จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และขับสารพิษออกจากร่างกาย และยังช่วยในระบบประสาทอีกด้วย เพราะดีเกลือ ทำมาจากแร่แมกนีเซียมซัลเฟตนั่นเอง


10 ประโยชน์สุดวิเศษจากดีเกลือ
1. แช่น้ำอุ่นอย่างผ่อนคลาย เพียงแค่เติมดีเกลือลงในน้ำอุ่น 2 ถ้วยตวง แล้วนอนแช่ให้สบาย

2. ใช้สำหรับทำความสะอาดผิวหน้า ใช้ในตอนกลางคืน โดย ผสมดีเกลือครึ่งช้อนชากับคลีนซิ่งครีมที่เราใช้เป็นประจำ แล้วนำมานวดเบาๆก่อนจะล้างออกด้วยน้ำอุ่น

3. มาส์กผิวแบบโฮมเมด ใช้มาส์กผิวที่ชื้นอยู่
สำหรับผิวธรรมดาถึงผิวมัน ผสมบรั่นดี 1 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 1 ฟอง นมสดไร้ไขมัน ¼ ถ้วย น้ำมะนาว และดีเกลือ ½ ช้อนชา
สำหรับผิวแห้ง ผสมแครอทบดละเอียด ¼ ถ้วย มายองเนส 1 ½ ช้อนชา และดีเกลือ ½ ช้อนชา

4. สำหรับแช่เท้า สามารถบรรเทาความเจ็บปวด ขจัดกลิ่นและช่วยให้ผิวนุ่มเนียนขึ้นด้วยการแช่ เพียงเติม ดีเกลือ ½ ถ้วยในอ่างที่ผสมน้ำอุ่นไว้เรียบร้อยแล้ว แช่เท้าไว้นานเท่าที่เราต้องต้องการ จึงล้างออกแล้วเช็ดให้แห้ง

5.ใช้ในการขัดผิว บนผิวที่เปียกชื้นใช้ดีเกลือหนึ่งกำมือเพื่อนำมานวด เริ่มต้นที่เท้าและนวดขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงใบหน้า หลังจากเสร็จให้อาบน้ำเพื่อล้างเกลือออก

6.ขจัดน้ำมันส่วนเกินของเส้นผม ผสม ดีเกลือ 9 ช้อนโต๊ะกับแชมพูสำหรับผมมัน ½ ถ้วย นำมาหมักผมแล้วปล่อยให้แห้ง จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น แล้วใช้น้ำมะนาวชโลม ทิ้งไว้ 5-10 นาทีจึงล้างออก

7.หากใช้สเปรย์จัดแต่งทรงผม แล้วต้องการล้างออกและเพื่อขจัดสารพิษที่หลงเหลือบนเส้นผม ให้ผสมน้ำสะอาด 1 แกลอน น้ำมะนาว 1 ถ้วย ดีเกลือ 1 ถ้วย นำมาหมักผมแล้วทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง วันรุ่งขึ้นจึงสระผมได้ตามปกติ

8.เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้เส้นผม ผสมคอนดิชั่นเนอร์กับดีเกลือ แล้วนำไปอุ่น พออุ่นได้ที่นำมาหมักผมแล้วทิ้งไว้ 20 นาที หลังจากนั้นล้างออกให้สะอาด

9.สำหรับลดอาการบวมช้ำ ดีเกลือจะลดอาการบวมจากอาการเคล็ดขัดยอกและรอยฟกช้ำ ใช้ ดีเกลือ 2 ถ้วยผสมในน้ำอุ่น แล้วนอนแช่ในอ่างอาบน้ำ

10. ขจัดผิวที่ลอก การแช่ดีเกลือจะช่วยให้ผิวที่ลอกหลุดออกไป




วิธีทำเกลือขัดผิวด้วยตนเอง
- ดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันอัลมอนด์ 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันมะกอก ชนิด extra virgin 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบ

ผสมกันแล้วทิ้งไว้สัก 2-3 นาที ก่อนที่นำมาขัดผิว ชะโลมผิวให้เปียก ขัดให้ทั่วโดยเฉพาะบริเวณที่แห้งกร้าน ทิ้งเอาไว้สักพักจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น

สำหรับคนที่เป็นโรคผิวหนังควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

มะนาวรักษาสิว


ทาน้ำมะนาวโดยตรงบนสิว

น้ำมะนาวมีกรดผลไม้ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids ทำงานโดยการลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างได้ผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ยังช่วยชำระรูขุมขนและช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น สดใสด้วย


 

สูตรน้ำมะนาว /วิธีใช้

1.ล้างหน้าให้สะอาด

2.บีบน้ำมะนาว 1 ช้อนชาในถ้วยเล็ก ใช้สำลีจุ่มน้ำมะนาวพอเปียก อาจผสมน้ำหากรู้สึกว่าแสบเกินไป

3.ป้ายน้ำมะนาวลงบนสิว สิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวหัวหนอง

4.ทิ้งไว้ทั้งคืนโดยไม่ต้องล้างออก ล้างออกตอนเช้า และทาอีกครั้งก่อนเมคอัพ (หากคุณต้องใช้เมคอัพ)

5.หากรู้สึกว่าน้ำมะนาวนั้นแรงเกินไป แม้ว่าจะผสมน้ำให้เจือจางแล้วก็ตาม ให้ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น


**วิธีการนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำจึงจะเห็นผล


ดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิว

สามารถใช้วิธีการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาและทำความสะอาดภายในร่างกาย หรือขจัดสารพิษออกจากตับ และเพื่อให้การดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำมะนาวนั้นเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ที่ช่วยให้กระชุ่มกระชวย ดื่มง่าย และทำได้ง่าย

ความจริงแล้วการรักษาสิวด้วยการดื่มน้ำมะนาวนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ที่ทุกคนควรดื่ม (สำหรับคนที่ไม่แพ้มะนาว) ประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านั้นคือ :

-ขจัดกรดต่าง ๆ ที่ตกค้างออกไป เพราะน้ำมะนาวมีแร่ธาตุต่าง ๆ (วิตามินซี, โพแทสเซียม)

-บรรเทาอาการท้องผูก

-ทำความสะอาดตับด้วยกรดซิตริก และสร้างเอนไซม์เพื่อขจัดสารพิษในเลือด

-ช่วยกระบวนการย่อยอาหาร

-กำจัดนิ่วในไต และตับอ่อน

การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 1

1.บีบน้ำมะนาว 1 ผลลงในแก้ว

2.เติมน้ำเปล่า 2 ถ้วย (ถ้วยละ 8 ออนซ์)

3.ดื่มน้ำมะนาวที่ผสมนี้ได้ทั้งวัน

การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 2

1.บีบน้ำมะนาว 1 ผล ผสมกับน้ำอุ่นที่ต้มแล้ว 1 ถ้วย (8 ออนซ์)

2.ดื่มเป็นสิ่งแรกของวัน ในตอนเช้า

3.หลังจากดื่มน้ำมะนาว งดการดื่ม หรือรับประทานสิ่งใด ๆ ภายในครึ่งชั่วโมง เพื่อให้น้ำมะนาวได้ชำระล้างร่างกาย

**ไม่ควรใช้วิธีการรักษาสิวด้วยน้ำมะนาว หากคุณมีประวัติแพ้มะนาว และมีโรคภาวะข้อต่ออักเสบ**



ขอบคุณข้อมูลจาก http://acnethai.com/index.php

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สรุปคำบรรยายจากแพทย์แผนจีน

“เมื่อชีวิตสุขสบาย ต้องไม่ไป (ตาย) ก่อน 99”



ทุกคนอยากมีชีวิตสุขสบายไร้โรคา ท่านทั้งหลายมาฟังการบรรยายก็มีจุดประสงค์อย่างเดียวกัน ผมขอถามว่า อายุขัยของคนเราสูงสุดคือเท่าไร บางคนบอกว่าสูงสุด 150 ปี ต่ำสุด 120 ปี ซึ่งไม่ถูก มนุษย์เรามีระยะเจริญเติบโต 20-25 ปี อายุขัยเป็น 5-7 เท่าของระยะเจริญเติบโต คือต่ำสุด 100 ปี สูงสุด 175 ปี การจะอยู่ถึงร้อยปีไม่ใช่ฝันอีกแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากอยู่ถึงขนาดนั้นหรือไม่ จะอยู่ร้อยปีก่อนอื่นต้องมีสุขภาพดี



แล้วสุขภาพดีมาจากไหน?

มาจากพื้นฐาน 4 ประการในชีวิตประจำวัน
ประการแรก คือ ภาวะจิตที่สงบสุข
ประการที่สอง คือ รับโภชนาการที่สมดุล
ประการที่สามคือ ออกกำลังกายพอเหมาะ
ประการที่สี่คือ นอนหลับเพียงพอ

โดยปรกติแล้ว ประการที่สี่ชักจูงให้งดบุหรี่และเหล้า ผมขอแก้เป็นนอนหลับเพียงพอ ดั่งที่โบราณท่านว่า
“อดนอนทุกวัน ชีวิตสั้นไป 10 ปี”




พื้นฐานสุขภาพ 4 ประการ ต้องเรียงตามลำดับ สมัยนี้มีบทความมากมายเขียนถึงเรื่องนี้ แต่ถ้าไม่พูดถึงภาวะจิตใจเป็นประการแรก แสดงว่าผู้เขียนไม่ใช่มืออาชีพ ไม่ต้องอ่านต่อแล้ว เพราะแพทย์แผนจีนจัดภาวะจิตใจเป็นอันดับหนึ่งในการบำรุงสุขภาพ

กล่าวคือ ภาวะจิตเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม และผลพวงต่างๆ เกิดจากพฤติกรรม มองในแง่สรีระ


คนเราอยู่ได้โดยอาศัยอวัยวะทั้ง 5 คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต


ยกตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลออกใบมรณะบัตร มักจะระบุสาเหตุการตายว่า หัวใจวาย ตับวาย ไตวาย เป็นต้น ถ้าผู้ป่วยตายด้วยเส้นเลือดหัวใจอุดตัน แสดงว่าเลือดเข้มข้นสกปรก แต่เลือดฟอกมาจากตับ แสดงว่าตับหมดสมรรถภาพในการฟอกพิษหรือกลั่นกรองเลือดให้บริสุทธ ิ์ ไหลเวียนไม่คล่องตัว ทำให้อุดตันในเส้นเลือด ผู้ป่วยโรคหัวใจจำนวนมาก ก่อนหัวใจวายมักจะบันดาลโทสะซึ่งเป็นสาเหตุทำลายการทำงานของตับด้วย
เพราะฉะนั้น โปรดจำไว้ว่า อย่าโมโหโทโสซึ่งไม่ช่วยแก้ไขปัญหาใดๆ เลย นอกจากทำลายร่างกายเท่านั้น ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน
“หัวเราะสามเวลา ห่างไกลโรคและยา หัวเราะสามเวลา หมอต้องผูกคอลา”




ทีนี้มาพูดเรื่องโภชนาการ อักษรจีนต้องเขียนตามลำดับก่อนหลัง ภาษาก็เช่นเดียวกัน เราพูดว่า

“ดุลยภาพแห่งโภชนาการ”หมายความว่า ดุลยภาพต้องมาก่อน โภชนาการจึงตามหลังมา
WHO เตือนเราว่า คนเราเกิดโรคมาจากสาเหตุ
(1) รูปแบบการดำรงชีวิตไม่เหมาะสม
(2) กินอาหารไม่สมดุล

หมายรวมถึงมากเกินและขาดแคลน นั่นคือ ไขมันมากเกิน แต่แร่ธาตุและวิตามินขาดแคลน สรุปคือ ไม่รู้จักกิน ทำให้เกิดโรค



อยากจะถามว่า เรากินอาหารเพื่ออะไร?

คำตอบคือ
(1) เพื่อดำรงชีพ
(2) เพื่อป้องกันโรค
(3) เพื่อรักษาโรค
บรรดาโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เกิดจากการกินทั้งนั้น ในเมื่อกินแล้วทำให้เกิดโรคได้ ก็ต้องกินแล้วรักษาโรคได้เช่นกัน
แพทย์แผนจีนเป็นมรดกตกทอด 5 พันปี ให้คนรุ่นหลังใช้รักษาโรค 5 ขั้นตอน


ขั้นตอน 1 รักษาด้วยอาหาร หมอจะให้สูตรอาหารแก่คนไข้เป็นเวลาหลายเดือน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้

ขั้นตอน 2 กวาดทราย ดูดด้วยสุญญากาศ บีบนวดและดึงดัน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้

ขั้นตอน 3 ฝังเข็ม ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้

ขั้นตอน 4 ใช้เหล้าดอง ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้

ขั้นตอน 5 ใช้ยา ปัจจุบันหมอจะให้ยาทันทีที่คนไข้มาหา เป็นยาย่อมมีพิษ คุณกินยาทั้งเดือนทั้งปี ไม่มีวันที่โรคจะหายขาด

Socrates บิดาแห่งแพทย์แผนปัจจุบัน เคยกล่าวเตือนว่า

“จงกินอาหารให้เป็นยา อย่ากินยาเป็นอาหาร”


จีนโบราณก็มีคำกล่าวว่า


“ใช้อาหารรักษาโรคดีกว่ายา”

แต่ทุกวันนี้มันกลับกันหมด เรากินอาหารวันละ 3 มื้อ กินเพื่ออวัยวะชิ้นไหนกันแน่? เราอยู่ได้เพราะอาศัยพลังงานจากอวัยวะทั้ง 5 พลังงานของอวัยวะได้มาจากการกิน แต่ทุกวันนี้เรากินตามใจและปาก ชอบอะไรก็กินมันทุกวัน อวัยวะทั้ง 5 ก็เหมือนกับคน มีรสนิยมแตกต่างกัน
ตับชอบกินสีเขียว
หัวใจชอบกินสีแดง
ม้ามชอบกินสีเหลือง
ปอดชอบกินสีขาว
ไตชอบกินสีดำ

คำว่าดุลยภาพหมายถึงกินหลากหลายชนิด แพทย์แผนจีนใช้วิธีมอง ฟัง ดม ถาม แมะ ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ ในที่นี้ก็รวมทั้งการมองดูสี ทั้ง 5 บนใบหน้านั่นเอง ตัวอย่างเช่น
ตับมีปัญหา สีหน้าจะออกเขียว
หัวใจมีปัญหา สีหน้าจะออกแดง
ม้ามมีปัญหา สีหน้าจะออกเหลือง
คนไข้หอบหืด สีหน้าจะออกขาว
คนไข้ไตเสื่อม สีหน้าจะออกดำ

ดังที่กล่าวแล้ว ถั่วเขียวเหมาะสำหรับบำรุงตับ เพื่อให้ตับขับพิษออกจากร่างกาย แต่ก็ต้องกินให้ถูกวิธี คนทั่วไปมักจะต้มถั่วเขียวจนเละซึ่งไม่ถูกต้อง
วิธีที่ถูกคือต้มให้น้ำเดือดประมารณ 5-6 นาทีก่อนที่ถั่วจะแตกเม็ด รินเอาน้ำออกซึ่งจะได้น้ำถั่วเขียวที่มีสีเข้มข้นที่สุด ดื่มแล้วมีสรรพคุณขับพิษสูงสุด จากนั้นเอาถั่วเติมน้ำต้มต่อจนเละกินเป็นอาหาร
หัวใจชอบสีแดงให้กินถั่วแดง
ม้ามชอบสีเหลืองให้กินถั่วเหลือง
ปอดชอบสีขาวให้กินถั่วขาว ·
ไตชอบสีดำให้กินถั่วดำ



ทำไมถึงให้กินแต่ถั่ว?

เพราะตำรายาจีนมีคำว่า“คนเรากินถั่วทั้ง 5 จะสมบูรณ์พูนสุข”
โภชนาการแผนจีนก็เน้นว่า “กินไม่พ้นถั่ว”

ขอยกตัวอย่างไม่ค่อยสุภาพ ในชนบทเขาใช้ถั่วดำเลี้ยงปศุสัตว์ ทำให้ไตแข็งแรงมีกำลังวังชา สามารถทำงานหนักเตะปี๊บดัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุภาพสตรีควรบริโภคถั่วตลอดชีวิต เพราะนอกจากเป็นประโยชน์ต่ออวัยวะทั้ง 5 แล้ว ในถั่วยังมีสารที่กระตุ้นการทำงานของรังไข่ ต่อไปจะพูดถึงรสชาติ
เปรี้ยวบำรุงตับ
ขมบำรุงหัวใจ
หวานบำรุงม้าม
เผ็ดบำรุงปอด
เค็มบำรุงไต

หมายความว่า ต้องกินให้ครบทุกรสชาติอย่างละนิด ให้เกิดสมดุล เช่น รสเปรี้ยวบำรุงตับ กินมากตับพัง จีนเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยโรคตับมาก ในจีนเองต้องยกให้มณฑลซันซีครองแชมป์โรคตับ เพราะคนที่นั่นชอบกินน้ำส้มสายชู รสเผ็ดบำรุงปอด กินมากปอดพังเช่นกัน
สถิติกระทรวงสาธารณสุขจีนปีที่แล้วระบุว่า ชาวเสฉวนและชาวหูหนันที่อพยพจากจีนใต้ไปอยู่ภาคเหนือ นำเอานิสัยชอบกินพริกติดตัวไปด้วย นานวันเข้าเป็นโรคมะเร็งในปอดตามๆ กัน ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ภาคใต้อากาศชื้น กินเผ็ดป้องกันความชื้นได้ แต่ภาคเหนืออากาศแห้ง กินเผ็ดมากจะทำลายปอด พึงจำไว้ว่า ใครอยู่ถิ่นไหนให้กินของถิ่นนั้น ไม่ใช่ว่ากินของได้ทั่วทุกถิ่น กินอาหารอย่างไรจึงจะเหมาะ?
ง่ายนิดเดียว มีหลักการจำดังนี้

“สีสัน หยาบ-ละเอียด ดิบ-สุก คาว-เจ” หมายความว่า กินอาหารต้องคละกันหลากสีและรสชาติ หยาบแข็งควบคู่กับละเอียดนิ่ม สุกควบคู่กับดิบ คาวควบคู่กับเจ ขอแนะนำว่า แต่นี้ไปให้กินผักดิบผลไม้สดแต่ละมื้อ ถ้าเปลือกกินได้ก็กินทั้งเปลือกจะยิ่งดี เพราะแพทย์แผนจีนถือว่า กินของดิบลดอาการร้อนใน แพทย์แผนปัจจุบันก็ถือว่า ผักผลไม้สดดิบให้วิตามินดีกว่า


สุดท้ายจะพูดถึงยาบำรุง เราไม่ต้องเสียเงินมากมายซื้อยามาบำรุงร่างกาย ผักและผลไม้มีวิตามินสูง ถ้ากินให้ถูกวิธี ก็สามารถดูดซึมวิตามินเพียงพอต่อร่างกาย สิ่งที่ต้องการคือแคลเซียม ผู้หญิงควรกินแคลเซียมวันละ 3000 มก. ขึ้นไป ผู้ชายกินวันละ 4000 มก. ขึ้นไป พร้อมกับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ คนทั่วไปมักเข้าใจผิด คิดว่าแคลเซียมใช้สำหรับรักษาโรคไขข้ออักเสบ ที่จริงแล้วแคลเซียมช่วยกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียน นอกจากนั้น ยังป้องกันเส้นโลหิตแข็งตัว
ดังนั้น ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ควรกินแคลเซียมให้เพียงพอ เพื่อให้เส้นโลหิตอ่อนตัว ความดันก็จะลดตาม ยาลดความดันก็ไม่ต้องกินมาก


ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน “อยากให้ร่างกายดี กินอาหารถูกวิธี อยากให้สุขภาพเยี่ยม อย่าลืมกินแคลเซียม” อย่าลืม อาหารต้องมาก่อนยา เป็นโรคอย่าพึ่งแต่ยา พึงใช้ยาในยามวิกฤติเท่านั้น

ขอส่งท้ายด้วย 4 ประโยคดังนี้


“หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา โรงพยาบาลที่ดีที่สุดคือห้องครัว
ยาที่ดีที่สุดคืออาหารมีคุณค่า การรักษาที่ดีที่สุดคือเวลา”


หมายความว่า ตัวคุณเองต้องรู้จักรักษาตัวเอง ห้องครัวในบ้านคุณเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ยากับอาหารมีความหมายเดียวกัน กินอาหารให้ถูกต้องก็คือยาที่ดีที่สุด การรักษาต้องต่อเนื่อง ไม่ใช่ทดลองแล้วก็หยุด หรือเปรียบเสมือนใช้อวนจับปลา 3 วัน แล้วก็ตากอวนหยุดจับปลา 2 วัน ต้องใช้เวลาเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี