Welcome www.herbsdd.blogspot.com

ขอต้อนรับเข้าสู่เวปไซต์ www.herbsdd.blogspot.com เพื่อคนรักสุขภาพและสมุนไพร เพื่อชีวิตที่ดีด้วยวิธีง่ายๆในการใส่ใจสุขภาพที่น่าทะนุถนอมของคุณ

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

สมุุนไพรรักษาสิว


สมุนไพรรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากสิว
สิวเป็นโรคเรื้อรัง พบบ่อยมากเป็นอันดับต้นๆ ของปัญหาโรคผิวหนัง มักเป็นในวัยรุ่น แต่บางครั้งเลยวัยรุ่นไปแล้วก็อาจเป็นได้ ลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็นสิวคือ เป็นเม็ดสิวอุดตันที่เรียกกันว่า คอมมิโดน ถ้าเป็นเม็ดนูนเล็กๆ ไม่มีรูเปิดเรียก สิวหัวขาว ถ้ามีรูเปิดที่ผิวหนังมองเห็นเป็นจุดดำอยู่ตรงกลางเรียกสิวหัวดำ นอกจากนี้อาจเกิดเป็นตุ่มนูนเล็กๆ แดงๆ อาจเห็นเป็นตุ่มหนอง ,หรือตุ่มนูนแข็งเม็ดโต หรือตุ่มแดงอักเสบแบบถุงซีสต์ที่เรียกกันว่า สิวหัวช้าง สิวที่สร้างความวิตกมากคือ สิวบริเวณใบหน้า ซึ่งเป็นบริเวณที่พบบ่อย ในบางรายอาจเกิดบริเวณ คอ , หลัง, อก, สาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ฮอร์โมนเพศ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ต่อมไขมันโตเต็มที่ผลิตน้ำมันมากขึ้น ท่อของต่อมไขมันหนาตัวมีการอุดตัน น้ำมันระบายออกไม่ได้คั่งค้างอยู่ภายใน เชื้อแบคทีเรียที่อยู่บริเวณนี้แบ่งตัวเพิ่มขึ้น ย่อยสลายไขมันทำให้เกิดความระคายเคือง และท่อต่อมไขมันแตกออก กรดไขมันออกสู่บริเวณข้างเคียงเกิดเป็นสิวอักเสบขึ้น ความรุนแรงของสิวแต่ละคนแตกต่างกันไป บางรายเป็นมากบางรายเป็นน้อย สิวอักเสบอาจกำเริบได้ในช่วงมีความเครียด เช่น อดนอน หรือในผู้หญิงช่วงใกล้มีประจำเดือน นอกจากนี้การบีบแกะสิว จะกระทบกระเทือนและนำเชื้อโรคเกิดการอักเสบมากขึ้น และมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นเมื่อสิวหายแล้ว
สิวแบ่งเป็น 2 ชนิด
1.สิวไม่อักเสบ เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน (COMEDONE) แบ่งเป็น 2 ชนิด
1.1 สิวหัวปิด เห็นเป็นตุ่มเล็ก ๆ หัวขาว ๆ
1.2 สิวหัวเปิด หรือสิวหัวดำ
2.สิวอักเสบ คือสิวที่หัวแดง ๆ หรือ เป็นหนอง พวกนี้ก็คือ (COMEDONE) ที่มีการติดเชื้อ(BACTERIA) แทรกซ้อน
ดังนั้น ถ้าเป็นสิวอักเสบ การทำความสะอาด ใบหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ และการป้องกันไม่ให้มีการอุดตันที่รูขุมขน (COMEDONE) โดยการใช้น้ำเปล่าล้างหน้าในตอนกลางวัน ก็พอจะช่วยให้สิวลดลงหรือป้องกันไม่ให้สิวใหม่เกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบ คงต้องปรึกษาแพทย์ เพราะต้องใช้ปฏิชีวนะ (กินหรือทาแล้วแต่ความรุนแรงของสิว)
สิวอักเสบควรจะต้องรีบรักษา ถ้าไปแกะหรือบีบหนองออก จะเป็นรอยแผลเป็น บุ๋มตลอดไป รักษายากมาก
การนอนดึกทำให้สิวเพิ่มขึ้น ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นสิวอักเสบ อาจเป็นเพราะ
1.ร่างกายอ่อนแอ เชื้อ Becteria ในสิวทำให้มีการอักเสบมากขึ้น
2.Hormone เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะใน ผู้หญิง ตัวอย่างเช่น บางคนประจำเดือน หรือขณะตั้งครรภ์
จะมีสิวเพิ่มขึ้น

สมุนไพรที่ใช้รักษาสิวได้แก่

ว่านหางจระเข้
วิธีใช้ ล้างหน้าเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ใช้วุ้นจากใบสดทาบริเวณที่มีอาการ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ปล่อยให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออก
ข้อควรระวัง ต้องล้างยางสีเหลืองจากขอบใบออกให้หมดก่อนใช้ เนื่องจากมีฤทธิ์ระคายเคืองมาก อาจทำให้เกิดการแพ้ สำหรับผู้ที่ผิวแพ้ง่าย อาจทดลองทาวุ้นบริเวณท้องแขนดูก่อน หากมีผื่นแดงหรือคันไม่ควรใช้ทาหน้า


เปลือกมังคุดบดผง 100%

สรรพคุณที่โดดเด่นของเปลือกมังคุดที่เรารู้จักใช้กันมานานคือการใช้เปลือกมังคุดในการรักษาโรคผิว สิวต่างๆ บรรเทาอาการผดผื่น โดยใช้เปลือกมังคุดแห้งมาต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมังคุดทาบริเวณที่มีอาการ และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวนี้เอง เปลือกมังคุดจึงถูกดึงมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น สบู่ที่ช่วยบรรเทาโรคผิวหนัง สบู่รักษาสิวฝ้า ซึ่งเป็นที่นิยม จริงๆแล้วเปลือกมังคุดได้รับการพิสูจน์และยืนยัน จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ค้นพบว่า รสฝาดในเปลือกมังคุดมีสารที่เรียกว่า แทนนิน(tannin)ซึ่งมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สารแซนโทน(Xanthon)ช่วยยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังได้ และสารที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า แมงโกสติน (Mangostin) มีฤทธืช่วยลดการอักเสบ และต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง
ผลวิจัยจะพบว่าเปลือกมังคุด เปลือกทับทิม มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก มีคุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระที่เหมาะสมมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ และพบว่าเปลือกมังคุดประกอบด้วยสารธรรมชาติ GM-1 ซึ่งมี คุณสมบัติเด่น 4 ประการ คือ
1. ระงับการเจริญของเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุสิว
2. ต้านการอักเสบ
3. ต้านอนุมูลอิสระ
4. ช่วยสมานผิว กระชับรูขุมขน

วิธีใช้ ใช้ ผสมน้ำเปล่าเท่านั้นอย่าให้ข้นหรือใสเกินไป พอกหน้าจนแห้งแล้วล้างออก หรือแต้มหัวสิวหนอง ยุบทันใจใน1-2วัน


บัวบกบดผง100%


ผลจากงานวิจัยสกัดสารต้านสิว ในบัวบกมีกลุ่มสารสำคัญจำพวกไตรเทอร์ปีน และกลัยโคไซด์ของไตรเทอร์ปีน ซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีผลการวิจัยรองรับมาก มาย ทั้งการศึกษาในสัตว์ ทดลองและในคน โดยพบว่าสารในบัวบกมีฤทธิ์ในการรักษาแผลกระตุ้น การสร้าง collagen เร่งขบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ จึงช่วยเร่งให้แผลหายเร็วขึ้น และมีประโยชน์ในการรักษาแผลเป็นและ keloid โดยสามารถลดการเกิดfibrosis จึงช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นได้
สารสกัดบัวบกยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอาการแพ้ จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหรืออักเสบ เนื่องจากแมลงกัดต่อย และลดอาการข้ออักเสบในคนไข้ได้อีกด้วย จากผลการทดลองใช้ครีมบัวบกทาแผลอักเสบหลังผ่าตัด พบว่าช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ สารสกัดน้ำบัวบกมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ S.aureus และเชื้ออื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดหนองได้ โดยผลต่อการเรียนรู้สารสกัดน้ำของบัวบก ขนาด 200 มก./กก. สามารถทำให้การเรียนรู้และความจำของหนูทดลองดีขึ้น ทั้งยังพบว่าสารสกัดบัวบกช่วยเพิ่มความสามารถ ในการเรียนรู้ของหนูที่มีอาการอัลไซเมอร์ได้
จากการวิจัยของ รศ.ดร.วันดี กฤษณพันธ์ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าบัวบกชนิดก้านขาว ให้สารสกัดน้อยกว่าบัวบก ชนิดก้านแดง โดยบัวบกทั้งสองชนิด ประกอบด้วยสารสำคัญ asiaticoside และสารอื่นๆ ไม่แตกต่างกัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้ศึกษาวิจัยการ นำสารสกัดบัวบกมาผลิต เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายชนิด
โดยพบว่าผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสกัดบัวบก ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยในการสมานผิว ป้องกันรอยแผลเป็น ช่วยลดความหยาบกร้านของผิว และลดการสะสมของแบคทีเรียได้อย่างดี บัวบกที่มีฤิทธิ์ฆ่าเชื้อ เมื่อใช้แต้มหัวสิว จากการทดลองในกลุ่มตัวอย่าง พบว่าทำให้สิวแห้งและหายเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
วิธีใช้ นำมาผสมน้ำสะอาด พอกหน้าแห้งแล้วล้างออก




ทนาคา100%

" ทนาคา" พาสวยด้วยสมุนไพรสืบตำนานโบราณ... เน้นงามแบบผิวพม่าฯ
ถ้าเป็นสมุนไพรไทยที่เกี่ยวกับผิวพรรณละก็ต้องนี่เลย "ขมิ้นชัน" แต่ถ้าเป็นสมุนไพรเคล็ดลับผิวสวยของพม่าก็ต้อง "ทนาคา" หรือ "กระแจะ" ไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่เวลานี้ถูกนำมาเป็นส่วนผสม ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายหลาก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า "ไม้ทนาคา" นั้น พม่าใช้ฝนกับหินผสมกับน้ำ ใช้ประทินผิวมาแต่โบราณ จนมีสำนวนเปรียบเทียบว่า "ผิวพม่านัยน์ตาแขก"ผิวสาวพม่าส่วนใหญ่จึงสวย เนียน และผิวค่อนข้างละเอียด เนื้อไม้ทนาคา ซึ่งเป็นสมุนไพรที่พบได้มาก จากทางฝั่งพม่า เมื่อตากแห้งสนิทและนำมาบดผงแล้วสามารถนำมาผสมทำครีมพอกหน้าได้อย่างวิเศษ สามารถผสม
*น้ำผึ้ง(สำหรับคนผิวแห้ง)
*น้ำมะขามเปียก(สำหรับผิวที่ด่างดำ)
*ขมิ้นชัน(สำหรับผิวที่มีสิว)
*นมสดรสจืด(สำหรับผิวที่ต้องการความนุ่มเนียน)
*โยเกิร์ต (สำหรับผิวที่ต้องการความนุ่มและใส)
เมื่อบดผสมจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็จะได้ครีมสำหรับพอกหน้าที่มีเนื้อสัมผัสไม่ถึงกับละเอียดนัก ทั้งนี้ เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกเผยผิวใหม่ เนื้อครีมอุดมไปด้วยสมุนไพร ที่มีสรรพคุณช่วยประทินผิว มีกลิ่นหอมสมุนไพรธรรมชาติ (ไม่แต่งกลิ่น) และไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อผิว"

วิธีใช้ เพียงนำครีมผสมให้ข้น(ผสมครั้งต่อครั้ง ห้ามผสมทิ้งไว้) มาพอกทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แห้งแล้วใช้มือขัดออก ทำทุกวันก่อนอาบน้ำ แค่สัปดาห์เดียวจะรู้สึกว่าผิวหน้า ที่แห้งหยาบกร้าน กลับมาชุ่มชื้นมีน้ำมีนวล และดูเนียนขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น ส่วนริ้วรอยจากฝ้า หรือกระ ที่มีอยู่จะค่อยๆ จางลง
*นี่คือภูมิปัญญาจากสมุนไพรพื้นบ้าน ที่สามารถแต่งเติม ความงามได้ไม่แพ้ครีมของนอก หรืออีกนัย ถ้าคุณได้ลองอาจจะดีกว่าของนอก ถูกกับผิวชาวเอเชียอย่างเรามากกว่าด้วยซ้ำค่ะ*
ข้อมูล ความมหัศจรรย์ของทนาคา จากไทยรัฐ ฉบับวันที่ 21มค।48 หน้า7




โคลน100%

ลีกลงไปในใต้พื้นพิภพปฐพี ลี้ลับด้วยทะเลสาบใต้ดินที่แท้คือสายน้ำแร่อันทรงคุณค่าที่มนุษย์ค้นหา และพบว่าตะกอนโคลนที่ปนเปื้อนมากับน้ำใต้พิภพนั้นช่วยสร้างสรรค์ผิวพรรณให้ผุดผ่อง และช่วยการหมุนเวียนของโลหิตให้ชีวิตสดใสใครเลยจะรู้ว่า ทั้งปฐพีมีแหล่งโคลนเช่นนี้อยู่เพียงสามแห่งเท่านั้นในโลก และหนึ่งในสามแหล่งนั้น นั่นคือ ภูโคลน แหล่งโคลนสุขภาพของเมืองไทย...ภูโคลน จ.แม่ฮ่องสอน

จากแหล่งโคลนสุขภาพของเมืองไทย ภูโคลน สู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามจากธรรมชาติสำหรับคุณ ภูโคลนคือแหล่งน้ำแร่และโคลนธรรมชาติ ที่มาจากสายน้ำแร่ใต้พื้นดินที่มีความร้อนตั้งแต่ 60-140 องศาเซลเซียส เป็นโคลนเดือดบริสุทธิ์สีดำที่ขึ้นมาพร้อมกับสายน้ำแร่ธรรมชาติที่สะอาดไม่มีกลิ่นของกำมะถันซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหนัง และระบบไหลเวียนโลหิตของมนุษย์

คุณสมบัติ
โคลนสุขภาพ ใช้เพื่อผิวพรรณที่สะอาดใส เนียนนุ่ม
โดยมีคุณสมบัติสามารถดูดซับความมันส่วนเกินและสิ่งสกปรก
ที่ติดตามรูขุมขนอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด สิว สิวเสี้ยน และริ้วรอยหมองคล้ำ
อีกทั้งส่วนผสมของแร่ธาตุที่สำคัญยังเป็นอาหารบำรุงเซลล์ผิว
และช่วยกระตุ้นให้เซลส์ผิวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อหน้าไม่มันปัญ

รายละเอียด คำแนะนำและวิธีใช้
โคลนสุขภาพ เพื่อผิวพรรณสะอาดใส เนียนนุ่มและคงความชุ่มชื้นของสภาพผิวสู่สมดุลธรรมชาติ และยังสามารถดูดซับความมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกที่ติดตามรูขุมขนอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวเสี้ยนและสิวอักเสบต่างๆ และริ้วรอยหมองคล้ำอีกทั้งส่วนผสมของแร่ธาตุที่สำคัญยังเป็นอาหารบำรุงเซลส์ผิวและช่วยกระตุ้นเซลส์ผิวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

โคลนสุขภาพ ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ 100%ไม่มีส่วนผสมหรือแต่งเติมสารสังเคราะห์ของสารเคมีใดๆ จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว

วิธีใช้
1. เตรียมส่วนผสมโคลน ลาโบเต้ 1 ช้อนชา เตรียมโยเกิร์ตรสธรรมชาติไม่มีผลไม้เจือปน 2 - 3 ช้อนชา นำโคลน ลาโบเต้ ผสมกับโยเกิตคนให้เข้ากัน (อาจใช้สมุนไพรไทย นำผึ้ง มะนาว หรือผักผลไม้ ปั่นเช่น แครอท ว่านหางจระเข้ ,แตงกวา )
2. ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วนำโคลน ที่ผสมไว้ทาให้ทั่วบริเวณใบหน้าทิ้งไว้ให้แห้งนานประมาณ 15 – 20 นาที
3. ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
**สำหรับผิวแห้งควรใช้เฉพาะโยเกิตพอกหน้าอีกครั้งทิ้งไว้นานประมาณ 10 –15นาที
4.ล้างออกด้วยน้ำสะอาดเช็ดให้แห้งเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดควรใช้น้ำแร่ธรรมชาติ ลาโบเต้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับสภาพความสมดุลของผิว

คำแนะนำการใช้

ผิวหน้าที่มีสภาพมันควรใช้ผลิตภัณฑ์ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
ผิวหน้าที่มีสภาพปกติควรใช้ผลิตภัณฑ์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ผิวหน้าที่มีสภาพแห้งควรใช้ผลิตภัณฑ์ 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง


ว่านนางคำ100%




ว่านนางคำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Curcuma amada (aromatica) หัวว่านมีสีเหลืองเข้ม กลิ่นหอม เป็นสมุนไพรตัวหนึ่งของต้นตำรับความงามโบราณ มีเรื่องเล่ากันว่า "พระนางคลีโอพัตรา" ใช้ว่านนางคำเป็นตัวช่วยประทินผิวให้งดงามอยู่ตลอดเวลา ในหัวว่านนางคำมีสาร curcumin และวิตามินหลายชนิด ช่วยบำรุงผิว ป้องกันเม็ดผดผื่น ช่วยทำสะอาดผิวกาย ลดรอยตกกระและจุดด่างดำ เนียนนุ่ม รักษาผดผื่นคัน และรักษาอาการคันจากการแพ้ตามร่างกายรักษาผิวพรรณให้ดูผุดผ่องสวยงามดี รักษาโรคผิวหนัง

ว่านนางคำจัดเป็นว่านหลักที่นักเล่นว่านสมัยโบราณมักมีไว้ประจำครัวเรือนเสมอเนื่องจากเป็นว่านที่มีอิทธิคุณสูง และสรรพคุณทางยาก็สามารถใช้ได้มากมายอีกด้วยที่สำคัญว่านนางคำเป็นว่านที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีท่านมักใช้อยู่เป็นประจำ โดยเมื่อเวลาที่ท่านสรงน้ำเสร็จท่านก็จะนำว่านนางคำมาทาศรีษะและตามร่างกายท่านมักทำเช่นนี้จนเป็นกิจวัตรจนเรื่องถึงพระเนตรพระกรรณ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ และพระองค์ทรงตรัสสรรพยอกว่า “หัวเหลือง” สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)ท่านอาจเล็งเห็นถึงคุณวิเศษที่มีอยู่ในว่านชนิดนี้ก็เป็นได้ถึงได้นำมาใช้อยู่เสมอๆ

ลักษณะของว่านนางคำจัดอยู่ในตระกูลวงศ์ขิง (Zingiberaceae) แต่มีบางท่านว่าว่านนางคำอยู่ในตระกูลพุทธรักษา ซึ่งอาจเป็นการเข้าใจผิดโดยอาจใช้มติของตัวเอง แล้วสรุปเอาตามความเข้าใจจึงขอบอกกล่าวกันไว้เพื่อป้องกันการสับสนครับ ลักษณะหัวเป็นแง่งกลมอวบใหญ่เนื้อในหัวสีเหลืองจัด มีกลิ่นหอมเย็น รสฝาดลำต้นมีลักษณะเป็นกาบใหญ่หุ้มรัดเป็นลำค่อนข้างแบนสีเขียว ก้านใบยาวแข็งใบใหญ่สีเขียวเข้ม เส้นแขนงนูนถี่เห็นได้ชัด โคนใบมน ปลายใบเรียวแหลมกระดูกและขอบใบสีแดงเรื่อๆ เฉพาะใบแก่ เป็นพืชล้มลุกเจริญในฤดูฝนและทิ้งใบฝังหัวในฤดูแล้ง

การเลี้ยงว่านต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของว่านด้วยในกรณีของว่านที่ทิ้งใบฝังหัวเมื่อพ้นหน้าฝนนั้น หลายท่านไม่เข้าใจคิดว่าว่านตายก็นำหัวไปทิ้ง ซึ่งถ้าว่านฝังหัวก็ไม่ต้องตกใจจากเดิมการรดน้ำในตอนที่ว่านมีใบนั้นให้รดจนชุ่มแต่ถ้าทิ้งใบเหลือแต่หัวการรดน้ำต้องรดเพียงแค่หมาดๆ หากไปรดมากๆเหมือนตอนมีใบก็อาจทำให้หัวว่านเน่าได้ครับ

ในตำราของอาจารย์หล่อขันแก้ว ปรมาจารย์แห่งวงการว่านไทยท่านกล่าวไว้ว่าว่านนางคำนั้นมี ๓ ชนิดคือ
ชนิดที่ ๑มีลักษณะ ลำต้นแดง ก้านใบแดง ใบเรียวสีเขียว หัวมีเนื้อเป็นสีเหลืองดังหัวขมิ้นเน่า
ชนิดที่ ๒มีลักษณะ ลำต้นเขียว ใบเขียวเนื้อในหัวมีสีขาว
ชนิดที่ ๓ต้นเขียว กลางใบแดงเนื้อในหัวมีสีเหลืองเข้ม มีกลิ่นหอม รสฝาด ใบโตขนาดใบว่านคันทมาลาในชนิดหลังนี้หาง่าย เป็นที่นิยมมีปลูกกันทั่วไปเป็นชนิดที่แพทย์แผนโบราณนำมาเป็นยา

ประโยชน์ผู้รู้แต่โบราณนับถือกันมากว่า ว่านนางคำถือเป็นพญาว่านต้นหนึ่งเช่นกันเนื่องจากสามารถคุ้มครองและแก้พิษว่านทั้งปวงได้ทั้งยังเป็นว่านที่ปลูกไว้ประจำบ้าน จะเป็นเสน่ห์เมตตามหานิยมแก่คนที่อยู่ในบ้านนั้น

ทางเภสัชมักนิยมใช้หัวสดตำให้ละเอียดผสมสุราโรง๔๐ ดีกรี พอกแก้ฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก โรคเม็ดผดผื่นคันตามร่างกายมีบางตำราท่านว่านำหัวสดโขลกแช่กับน้ำมันเบนซินผสมการบูรเล็กน้อยทาแก้ฟกช้ำหรือปวดเมื่อยตามร่างกาย แต่ประเด็นหลังนี้ไม่ขอแนะนำครับเพราะผิวหนังอาจเกิดอาการแพ้น้ำมันได้ หรือหากใช้แก้อาการปวดท้อง ถ่ายท้องให้ใช้หัวสดฝนกับน้ำปูนใสกินอาการดังกล่าวจะทุเลาลง หรือจะกินหัวสดๆกับเหล้าขาวก็ได้เช่นเดียวกัน รากใช้เป็นยาขับเสมหะและใช้เป็นยาสมาน แก้โรคท้องร่วงโรคหนองในเรื้อรัง และว่านนางคำสามารถนำมาปรุงเข้ากับยาสมุนไพรอื่นๆ ได้ปัจจุบันตามร้านขายยาแผนโบราณยังคงใช้เป็นตัวยารักษาโรคเช่นเดิมสรรพคุณทางยาที่ได้กล่าวไปทั้งหมดหากท่านใดต้องการใช้ต้องปรึกษากับเภสัชกรแผนโบราณเสียก่อนนะครับเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

วิธีใช้ สำหรับผิวหน้าและผิวกาย ใช้ขัดและพอกผิวโดยผสมกับน้ำ หรือถ้าจะให้ได้ผลดี ควรผสมกับนม หรือโยเกิร์ต กับน้ำผึ้ง จะช่วยทำให้ผิวนุ่มเนียน สวยยิ่งขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น